โลกนี้มีแค่ วันหนึ่ง คืนหนึ่ง
วันหนึ่งสมมติว่าดี คืนหนึ่งสมมติว่าไม่ดี
มันเกิดดับเหมือนกันหมด
พระพุทธองค์เอาเป็นหลัก เอาวันหนึ่งคืนหนึ่งเป็นหลัก
ยึดหลักวันหนึ่งคืนหนึ่ง เอาเป็นอารมณ์ เอามาพิจารณา แต่ละวันแต่ละคืนนี่มันไม่เที่ยง
ถาวโรภิกขุ
|
เรื่อง...กลางวันกลางคืนเกิดดับ วันเดือนปีเป็นสิ่งสมมติ อายุก็แค่กลางวันกลางคืน
พ.ศ.๒๕๔๗
|
|
เกิดแล้วก็ ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายในที่สุด
เราต้องพลัดพรากจากของรักและหวงแหนไปในที่สุด
แล้วเราก็มีความแก่ความเจ็บความตาย ไม่พ้นสิ่งเหล่านี้ในที่สุด
นี่คือ “สัจจธรรม”
พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ให้เราเดินตามอริยมรรคองค์ ๘
ตามศีล สมาธิ ปัญญา พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม คือสติปัฏฐานสูตร สติปัฏฐาน ๔ นั้นเอง
แล้วเราก็จะเหนือมัน เหนือสิ่งเหล่านี้ คือตัวอิสระ เห็นตามความเป็นจริงที่มันมีอยู่ในโลก
|
|
เรื่อง...ไตรลักษณ์ สามัญลักษณะ พ.ศ.๒๕๓๘
|
|
|
เราก็เหมือนกัน พอสิ้นลมก็เน่าเปื่อยไปในที่สุด ไม่ต่างอะไรกับน้ำแข็ง
สักก้อนหนึ่ง มาตั้งไว้นี่ รอวันเวลามันก็ละลายไปหมด ว่างเปล่า ไม่มีอะไร
สักนิดหนึ่ง ก้อนหนึ่งก็ไม่มี นั่นคือ “ สัจจธรรม” ปรากฏแล้ว เรื่องอะไร
เราจะมายึดมั่นถือมั่น เป็นอุปาทานขันธ์
ถาวโรภิกขุ
|
เรื่อง...กฎแห่งกรรม พ.ศ.๒๕๔๒
|
|
แต่ละวันแต่ละคืน มันไหลไปทุกวัน วันเวลาเหมือนน้ำ เหมือนน้ำมันเลยเหมือนสายน้ำมันไหลไปไม่เลือก และไม่มีใครจะมาต้านทานมัน ไม่ว่าหน้าแล้งหน้าฝนมันก็ไหล วันเวลาเหมือนสายน้ำ มันเอาทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าสิ่งนั้นจะมีวิญญาณครองหรือไม่มีวิญญาณครอง เอาไปหมด ไม่มีอคติ แม้แต่มนุษย์เราจะเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี มีเงินก็ซื้อไม่ได้ ซื้อมันไม่ได้ มันไหลไปทุกเวลา
|
|
เรื่อง...วันคืนล่วงไปไหลไปเธอทำอะไรอยู่ ตอนที่ ๑ พ.ศ.๒๕๔๔
|
|
ชีวิตที่ผ่านมา เหมือนเทน้ำใส่ทราย หายวับ
ไม่ได้อะไร
ถาวโรภิกขุ
|
หลับตาก็ไม่เห็น ลืมตาจึงเห็น
เกิดแล้วก็ดับไปวันหนึ่งคืนหนึ่ง ซ้ำๆซากๆ มีแต่เกิดดับ “ เหมือนคลื่นกระทบฝั่ง ดับสูญไป ”
โลกอนิจจัง อนัตตา สุญญตา
ถาวโรภิกขุ
|
|